ufa747
ทางเข้า sbobet

รู้จัก การฝังยาคุม กำเนิด พร้อม 5 เรื่องที่ผู้หญิงควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ 

การฝังยาคุม

ในปัจจุบัน การฝังยาคุม กำเนิดเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ในระยะยาวได้ ด้วยขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก และป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง จึงทำให้ผู้หญิงหลายคนตัดสินใจทำ อย่างไรก็ตามการฝังยาคุมกำเนิดจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้แบบชั่วคราวเท่านั้น และอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลายอย่าง สำหรับใครที่กำลังจะตัดสินใจทำ มาดูว่ามีอะไรที่คุณต้องรู้บ้าง 

5 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ การฝังยาคุม กำเนิด ผู้หญิงไม่ควรมองข้าม

ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีการใช้มาเนิ่นนานหลายสิบปีแล้ว โดยยาดังกล่าวจะมีอยู่ด้วยกันหลัก ๆ 3 ประเภท คือ ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 6 หลอด (คุมกำเนิดนานถึง 5 ปี), ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 2 หลอด (คุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี) และยาฝังคุมกำเนิดชนิด 1 หลอด (คุมกำเนิดได้นาน 3 ปี) จะเห็นว่าตัวยาแต่ละตัวจะออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้ในระยะเวลาที่แตกต่างกัน สำหรับผู้หญิงคนไหนที่สนใจจะทำ มาดูว่า 5 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนการฝังยาคุมมีอะไรบ้าง

  1. การฝังยาคุมช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากในยาฝังคุมกำเนิดมีฮอร์โมนโปรเจสตินที่ช่วยป้องกันการปฏิสนธิระหว่างไข่และอสุจิ ทั้งยังทำให้เมือกบริเวณปากมดลูกเหนียวข้นอีกด้วย
  2. วิธีการฝังยาคุม แพทย์จะทำความสะอาดผิวหนังด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ จากนั้นฉีดยาชาที่ใต้ท้องแขน เปิดแผลเล็ก ๆ แล้วใช้เข็มสอดแท่งที่มีหลอดยาบรรจุอยู่เข้าไปในแผล เพื่อให้ยาเข้าสู่ผิวหนัง
  3. ระยะเวลาเห็นผล โดยปกติหากฝังยาคุมกำเนิดในช่วง 5 วันแรกของรอบเดือนจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในทันที แต่ถ้าหากฝังที่ช่วงอื่นจะใช้เวลาอย่างน้อย 7 วัน จึงจะเห็นผล
  4. ผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ การมีเลือดออกจากช่องคลอด แต่ก็สามารถหายได้เอง ในช่วงปีแรกอาจส่งผลให้ประจำเดือนไม่ปกติ บ้างก็มาน้อย มามาก หรือไม่มาเลย ฉะนั้นต้องสังเกตให้ดี
  5. ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ การฝังยาคุมกำเนิดเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้น แต่ไม่สามารถป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ ดังนั้นควรดูแลตัวเองให้ดีที่สุด 
การฝังยาคุม

การฝังยาคุมกำเนิด ทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้หญิงที่ไม่อยากตั้งครรภ์

สำหรับ การฝังยาคุม กำเนิดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการป้องกันการตั้งครรภ์สำหรับผู้หญิงหลาย ๆ คน เพราะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปีเลยทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ใช้ด้วย อย่างไรก็ตามวิธีนี้ยังคงสะดวกกว่าการกินยาคุมหรือฉีดยาคุมกำเนิด เพราะทำเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถป้องกันได้แล้ว เรียกว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง มีอัตราความล้มเหลวไม่เกิน 0.1% แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ต้องศึกษารายละเอียดและชั่งน้ำหนักให้ดีด้วย

แชร์บทความนี้